ข้อสังเกต กำไรบนงบการเงิน
ไม่เกิน 45 วันหลังจากวันปิดงวดงบการเงินสำหรับงบการเงินรายไตรมาส และ 60 วันสำหรับงบการเงินรายปี เป็นเวลาตามกำหนดนัดที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างใจจดใจจ่ออยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทที่ตนเองได้ลงทุนไปหรือรอที่จะเข้าลงทุน จากประสบการณ์ของผู้เขียน นักลงทุนจำนวนหน
ผู้เขียนจึงอยากตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการอ่านงบการเงินที่เกี่ยวกับคุณภาพของกำไรให้นักลงทุนได้พึงสังเกต ดังนี้
1. กำไรดี เพราะสินค้าขายดีแต่อาจเก็บเงินจากลูกหนี้การค้า ไม่ได้
ข้อสังเกตข้อแรกที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านสนใจ คือ การที่บริษัทขายของได้แล้วบันทึกบัญชีขายของตามปกติ พร้อมกับตั้งลูกหนี้ค้างรับไว้ รอการเก็บเงิน แต่เก็บเงินลูกหนี้ยังไม่ได้ กรณีนี้จะเห็นลูกหนี้การค้ามีการขยายตัวไม่ได้สัดส่วนกับยอดขายที่เติบโตขึ้น แต่นี่เป็นเพียงข้อสังเกต ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น นักลงทุนจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุที่มาของปัญหาด้วย เพราะอาจเกิดจากการที่บริษัทจดทะเบียนให้เครดิตเทอมกับลูกค้านานขึ้น เช่นจาก 45 วัน เป็น 60 วัน หรืออาจเกิดจากลูกค้าเฉพาะรายที่มีลักษณะพิเศษ เช่น ลูกค้าหน่วยราชการสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทด้วยความจำเป็นเร่งด่วน แต่รอการจ่ายเงินจากการตั้งงบประมาณปีถัดไป เช่นนี้บริษัทต้องรอการรับเงินจากลูกค้าหน่วยราชการนานมาก แต่โอกาสที่ลูกค้าที่เป็นหน่วยงานราชการจะไม่จ่ายเงินมีน้อยมากเช่นกัน
โดยปกติในหมายเหตุประกอบงบการเงิน จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับลูกหนี้แยกตามอายุการค้างชำระของลูกหนี้ไว้ การอ่านหมายเหตุเพื่อดูสัดส่วนของอายุการค้างชำระของลูกหนี้ในแต่ละช่วงจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจคุณภาพลูกหนี้ได้ดียิ่งขึ้น และอีกวิธีหนึ่งในการพิจารณา คือ ดูจากงบกระแสเงินสด เพราะงบกระแสเงินสดจะบอกที่มาและทางใช้ไปของเงินสดในกิจการ ทำให้นักลงทุนเห็นความเป็นไปของกิจการได้ดียิ่งขึ้น
2.กำไรจากการตีราคาสินค้าคงเหลือ
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่มีการกล่าวถึงกันมาก ในช่วงเวลาที่สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายปรับราคาสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทที่ใช้สินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้เป็นวัตถุดิบย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการตีราคาสินค้าคงเหลือในคลังได้ ผลที่ตามมา บริษัทเหล่านี้จะดูมีกำไรมากเมื่อสินค้าโภคภัณฑ์ปรับราคาสูงขึ้น ในขณะที่กำไรจะลดลงเมื่อสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง เช่น บริษัทกลั่นน้ำมันจะมีกำไรจากสินค้าของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนของสินค้าจะเป็นต้นทุนเมื่อ 2 เดือนก่อนทำให้กำไรที่รายงานมีความผันผวนมาก แต่ในความเป็นจริง บริษัทเหล่านี้จะมีรายได้หลักมาจากค่าการกลั่น (Gross Refinery Margin) นั่นคือ ผลต่างระหว่างราคาเฉลี่ยระหว่างน้ำมันสุกและน้ำมันดิบ ในทางปฏิบัติเมื่อนักลงทุนเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดจากการปรับเพิ่มขึ้นของการตีราคาสินค้าคงเหลือ เพราะรายได้ของบริษัทควรตั้งอยู่บนมูลค่าเพิ่มที่ทำได้จากผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่การเก็งกำไรตัวสินค้าโภคภัณฑ์
3.กำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน รายการตั้งสำรองต่างๆ
กำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การตั้งสำรองสินค้าล้าสมัย, การกลับรายการการตั้งสำรองสินค้าล้าสมัย รายการเหล่านี้เป็นรายการที่เกิดขึ้นเป็นปกติในบางกิจการ แต่กำไรขาดทุนจากกิจกรรมเหล่านี้ นักลงทุนควรแยกรายการเหล่านี้ออกจากกำไรปกติที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อการลงทุน เพราะบริษัทเหล่านี้มิได้มีจุดประสงค์ในการค้ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม หากบริษัทใดมีการตั้งสำรองสินค้าเสื่อมสภาพ สินค้าล้าสมัย และการด้อยค่าของสินทรัพย์อยู่เป็นประจำ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการจัดการด้านการผลิตสินค้า การบริหารสินค้าคงเหลือที่ไม่มีประสิทธิภาพ และสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการของคณะผู้บริหารได้เช่นกัน
4.มีกำไรแต่ไม่มีการจ่ายภาษีหรือจ่ายภาษีในอัตราที่ไม่เป็นปกติ
นี่เป็นอีกรายการที่อาจจะไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่นักลงทุนจำเป็นต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า สาเหตุของการได้รับยกเว้นภาษีเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งการที่บริษัทไม่ได้จ่ายภาษีหรือจ่ายน้อยกว่าปกติมีได้หลายสาเหตุ เช่น
4.1 บริษัทมีผลขาดทุนสะสมย้อนหลังใน 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทำให้สามารถนำยอดขาดทุนสะสมมาใช้ชดเชยกำไรในปีนี้ได้ตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร ถ้าเป็นกรณีนี้ ต้องพิจารณาว่าขาดทุนสะสมยกมาใช้ จะใช้หมดเมื่อไร ก็จะทำให้บริษัทต้องกลับไปเสียภาษีในอัตราปกติ ซึ่งจะส่งผลต่อกำไรค่อนข้างมาก เช่น กำไรในปี 2551 ทั้งปี 1 หมื่นล้านบาท แต่ไม่ได้เสียภาษีเพราะใช้ขาดทุนสะสมยกมา ต่อมาในปี 2552 หากต้องเสียภาษีในอัตรา 30% จะทำให้กำไรลดลงเหลือเพียง 7,000 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะทำกำไรก่อนภาษีได้ในระดับเดิมก็ตาม
4.2 บริษัทได้รับการส่งเสริม BOI จึงได้รับยกเว้นหรือลดภาษีให้ ถ้าเป็นกรณีนี้ ต้องดูด้วยว่าสิทธิประโยชน์ที่ได้จาก BOI จะหมดลงเมื่อใด
4.3 บริษัทได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษีจากเหตุอื่น เช่น รัฐให้แรงจูงใจในการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดด้วยการลดอัตราภาษีใน 5 ปีแรก นักลงทุนต้องดูว่า จะกลับไปเสียภาษีในอัตราปกติเมื่อใด
ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นเพียงประเด็นที่พึงสังเกตบางแนวทางเท่านั้น การที่งบการเงินมีรายการบัญชีใดบัญชีหนึ่งไม่ได้หมายความว่า จะมีความผิดปกติที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ผู้ลงทุนควรพิจารณานัยสำคัญในงบการเงิน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงขนาดของรายการในแต่ละช่วงเวลา และพิจารณาควบคู่ไปกับงบกระแสเงินสดและการศึกษาธุรกิจนั้นๆ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจแต่ละประเภท เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|